Wednesday 29 January 2014

ร้านเสื้อในดวงใจ

     โพสต์วันนี้จะสั้นหน่อย เพราะไม่มีอะไรจะเขียนมากและเพิ่งไปวิ่งมา 5 กิโล เหนื่อย นอกจากนั้นโพสต์นี้อาจจะไม่เป็นที่สนใจกับใครมากนัก เพราะพูดถึงเสื้อผ้า ต่อให้เป็นผู้หญิงด้วยกัน ก็รสนิยมแตกต่างกันมากมาย ยิ่งผู้ชายไม่ต้องพูดถึง พูดซะขนาดนี้ไม่รู้ว่าอยากให้อ่านหรือไม่อยากให้อ่านกันแน่ ที่แน่ๆคนเขียนอยากโพสต์

      จะบอกว่าทุกวันนี้ละเหี่ยใจกับเสื้อผ้าตามสมัยนิยมมาก คือ ทุกคนเป็นคุณหนูดุ๊งดิ๊งเหรอ ไม่ใช่ป่ะ ทำไมอะไรๆต้องสีพาสเทล ลายโบว์ ลัลล้า (ไม่เคยเห็น ให้ดูตามร้านใน Facebook ร้อยละ 99 เป็นแบบนี้ หรือไปเดินตลาดนัด เดินห้าง ทั้งนั้นแหละ อยากเอามาให้ดู แต่เดี๋ยวโดนข้อหาขโมยภาพ แถมขโมยมาด่านี่ คงโดนเยอะ )  เราเพลียจนหันมาแต่งตัวแหวกแนวอย่างเต็มรูปแบบ เดิมเราก็ซื้อเสื้อผ้าตามสมัยบ้างอะไรบ้างนะ แต่สมัยนี้ไม่ไหวจริงๆ จะว่าไปนอกจากเรื่องความนิยมชมชอบส่วนตัว อีกสิ่งหนึ่งที่เรารับไม่ได้จริงๆ คือ การที่เสื้อพวกนี้ล้วนใช้ผ้าใยสังเคราะห์ ซึ่งดิฉันขอแบน แบน แบน ในทุกกรณี ยกเว้นเสื้อผ้ากีฬา และ Outdoor ซึ่งมีวัตถุประสงค์เฉพาะ และที่แบนก็ไม่ใช่เพราะตอแหลรักโลก แต่เป็นเพราะมันร้อน ร้อน ร้อนมากเลยค่า สำหรับข้าพเจ้าผู้ไม่ใช่แค่ประหยัดแอร์ แต่หากไม่ร้อนจริงๆ ก็ประหยัดพัดลมด้วย การใส่เสื้อผ้าใยสังเคราะห์นี้นรกดีๆเลย นี่ไม่นับว่าไม่มีรถต้องไปยืนคอยรถสองแถว นั่งอบไอแดดและไอร้อนจากผู้อื่นในรถสองแถวอีก นรกค่ะ คุณ นรกดีๆ นี่เอง เหงื่อนี่ออกจนผ้ามันแนบติดชิดกับตัว และทะลุผ่านออกมา เป็นหยด ไหลตกติ๋งๆ เลยค่ะ แค่ครั้งเดียวก็เกินพอค่ะ ดิฉันไม่ตอแหลค่ะ ชีวิตชาวบ้านก็ชาวบ้าน การจะพยายามสร้างลุคคุณหนูบนรถสองแถวนอกจากจะเป็นการทรมานตัวเองโดยไร้เห ตุจนเป็นที่หัวเราะเยาะขบขันของผู้พบเห็นแล้ว ยังอาจถูกผู้คนหมั่นไส้ ไม่ลุกให้นั่งและไม่หลีกให้ลงได้ค่ะ  สรุปคือ ใครจะใส่ก็ใส่ไป ส่วนดิฉันไม่เอื้อด้วยทั้งสังขาร หน้าตา และภาระค่ะ

      ก่อนหน้านี้เคยถึงกับกังวลว่า แล้วเราจะใส่อะไรเนี่ย เสื้อที่มีอยู่ก็เริ่มเก่า จะไปซื้อของมาตุนในห้องในวันศุกร์ด้วยชุดทำงาน แล้วไม่ต้องออกไปไหนเลยนอนใส่ชุดนอนอยู่ในบ้านทุกเสาร์อาทิตย์ ก็ดูจะเป็นวิธีที่สุดโต่งจนเกินไป ก็เลยแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าด้วยการซักมือเสื้อผ้าทุกตัว ซึ่งได้ผล ทำให้เสื้อผ้าเก่าช้าลง ซื้อเวลาไปก่อนได้ แต่ตามประสาผู้หญิง ผู้ซึ่งในแฟชั่นยุคก่อน เคยซื้อกระโปรงจตุจักรทีเดียว  8 ตัว เสื้ออีก 9 ตัว (เพราะหลายตัวได้ราคาถูกกว่า) และซื้อแทบทุกเดือน พอชีวิตกลับตาลปัตรก็ย่อมรู้สึกดีใจที่ประหยัดเงิน แต่ก็อดรู้สึกเศร้าโศกเล็กๆไม่ได้ และเศร้าขึ้นทุกครั้งที่ไปจตุจัตร แต่ไม่ได้ซื้ออะไรเลย แม้แต่อย่างเดียว ยกเว้นลูกบอลไม้นวดเท้าจากสมาคมมังสวิรัติ เพราะฉะนั้นความปิติยินดี เมื่อพบเสื้อผ้าร้านนี้จึงเป็นสิ่งที่ยากจะสื่อสารให้ทุกคนเข้าใจ  ร้านนี้อยู่ในโซนของแพง ของจตุจักร โซนที่มีพื้นกระเบื้อง มีต้นไม้ตรงกลาง มีที่นั่ง คนขายส่วนใหญ่อายุน้อย ดูมีอันจะกิน แต่ร้านนี้ไม่ใช่ อย่างไรมาดูกัน

   
             
            ร้านนี้คนขายเป็นคุณลุง หน้าตาคล้ายชาวเล แต่งตัวอารมณ์ บ๊อบ มาร์เลย์เล็กน้อย ชอบนอนหลับ เข้าไปก็ไม่ต้องปลุก เลือกก่อนถ้าจะเอาแล้วค่อยปลุก บอกตรงๆว่าเราเดินผ่านหลายรอบ แต่ไม่เคยแวะเลย เพราะคิดว่าขายฝรั่ง โก่งราคาแหงๆ ปรากฎว่าคิดผิด ลุงลดราคาให้เรามากมาย เช่น บอกเรา 450 ลดเหลือ 300 โดยเราไม่ได้ต่อซักคำ เสื้อผ้าเป็นเสื้อผ้ามัดย้อม ซึ่งมีข้อเสียคือสีตก ต้องซักมือ แต่เราซักมืออยู่แล้วก็เลยไม่ใช่ประเด็น เสื้อผ้าร้านนี้ผ้าดีมากๆ ใส่สบายมากๆ ไม่ร้อนเลย เราใส่เดินขึ้นเขามาแล้ว ตามรูป จริงๆ ชุดเค้าสวยนะ เราดันเอามาปู้ยี้ปู้ยำ ใส่กับเลกกิ้งลายบ้าๆบอๆ พร้อมถุงเท้ายาวอีก เสื้อเค้าเลยขายไม่ออกเพราะเรานี่แหละ เราชอบร้านนี้อีกอย่างคือ เราไปห่างกันแค่สองเดือน เสื้อเค้าเปลี่ยนไปหมดทั้งร้านทุกครั้งเลย ลายเป็น แบบเปลี่ยน เปลี่ยนใหม่หมด คิดแบบใหม่ๆอยู่ตลอด ไม่เหมือนร้านเสื้อยืดบางร้านแถวไหน 3 ปี ยังขายแต่ลายเดิม


    เสื้อผ้าแบบนี้ ก็คล้ายเสื้อผ้าคุณหนูและเสื้อผ้าเกือบทุกแบบ คือก็เหมาะกับบางคน และไม่เหมาะกับหลายๆคน แต่เราว่ามันเหมาะกับเรา และทำให้เราได้ซื้อเสื้อผ้าใหม่แล้ว เย้ จริงๆ นอกจากเสื้อผ้ามัดย้อมแล้ว กางเกงชาวเขาก็ใส่สบายมากๆเลย แต่เราไม่รู้ว่าซื้อที่ไหน ป้าให้มา หาซื้อเองก็ไม่ดีเท่า (แต่ป้าอาจซื้อมาตัวละพัน เราซื้อ 150) ไว้ไปเที่ยวเชียงใหม่ ถ้าเจอแล้วจะมา Saywow เล่าให้ฟังค่ะ

      ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่าน Namfonsayswow ตอนที่ค่อนข้างจะส่วนตัว และไม่ค่อยมีประโยชน์กับใครอย่างตอนนี้นะคะ ขอบคุณที่ติดตามค่ะ

Wednesday 22 January 2014

ครีมทาผิว

             จะบอกว่าโพสด์ที่แล้วเป็นโพสต์ที่คนอ่านน้อยมากๆเลย แอบท้อนิดหน่อย แต่คิดว่าไม่น่าจะเกี่ยวกับสิ่งที่เขียน เพราะแค่คลิกมามันก็นับแล้ว มนุษย์เรานี่ก็แปลกเนอะ ตอนที่เขียนตอนแรก ไม่คิดเลยด้วยซ้ำว่าจะมีคนอ่านเกินสิบคน และเริ่มเขียนเพียงเพราะความชอบส่วนตัว แต่พอมีคนมาสนใจอ่านเข้าหน่อย ก็ชักจะเสพติด พอคนอ่านน้อย ก็ชักจะท้อ ถึงขึ้นคิดจะเลิกเขียน ทั้งๆที่ตอนแรกเขียนเพราะอยากเขียนแท้ๆ นี่แหละหนา มนุษย์

             วันนี้ขอเป็นคนตามกระแส เขียนหัวข้อที่เข้ากับบรรยากาศความหนาวเย็นประหลาด คล้ายเกิดเหตุอาเพศของไทยในปีนี้ หนาวจน เราอาบน้ำอุ่นซะ เครื่องทำน้ำอุ่นที่หอพังเลย ถึงขนาดนั้น เราก็ไม่ได้คันยิกๆ อย่างท่านทั้งหลายหรอกนะ เป็นเพราะเรามีเคล็ดลับ ซึ่งไม่ใช่ซีม่าโลชั่น เพราะเดาเอาว่าทั้งเราและคุณคงไม่ได้คันกลาก แต่คันเพราะผิวแห้ง ขาดความชื้นในหน้าหนาว บอกตรงๆ ว่าเราทาครีมทุกฤดู ทาเยอะมาก จนแทบโบก เพราะด้วยกรรมพันธุ์เราเป็นคนผิวแห้งมาก หน้าไหนๆก็ตาม ถ้าเราไม่ทาครีมเราจะคัน คันมากๆจนเริ่มแตกลายถาวร คล้ายๆแตงโม เราจึงต้องทาครีมอยู่เสมอ จะบอกว่าทาขนาดนี้ เรายังไม่สามารถใส่ขาสั้นวิ่งกลางแจ้งได้ ไม่ใช่เพราะขาลาย แต่เพราะพอเหงื่อออกแล้วลมพัดจะคันขามาก คันยุบยิบยับ ชนิดที่ไม่ต้องวิ่งกันเลยทีเดียว

             ที่ใช้หัวข้อว่าครีมทาผิว ไม่ใช่ยี่ห้อใดเป็นพิเศษ เป็นเพราะเราใช้แบบเดิม มาประมาณ 4 ปีแล้ว และยังไม่คิดจะเปลี่ยน ไม่คิดจะลองอย่างอื่นด้วย เพราะฉะนั้นมันก็คงเป็นหัวข้อครีมทาผิวเดียวที่จะเขียนถึง ก่อนหน้านี้ เราเคยลองมาจนแทบครบทั้งชั้นซุปเปอร์ ระหว่างนั้นก็ทั้งผิวแห้ง มีเม็ดแดงๆขึ้นคล้ายเป็นหัดเยอรมัน มีตุ่มใสๆขึ้นคล้ายเป็นอีสุกอีใส โดนแดดแล้วแสบคล้ายเป็นแวมไพร์ ไปจนถึงขนขึ้นคล้ายเป็นลิง หรือไม่เป็นอะไรเลย แต่แพง มีทุกรูปแบบ จนสุดท้ายตัดสินใจ ไม่ลองอะไรอีกแล้ว หยุดอยู่ที่ตรงนี้แหละ ก่อนแนะนำต้องบอกก่อนเลยว่า แอบหาซื้อยากนิดนึง คือ ต้องสั่งเอาอีกแล้ว เรานี่ถึงขั้นเป็นเจ้าแม่ช้อปออนไลน์ก็ว่าได้ ซื้อมาไม่รู้กี่ร้าน แรกๆก็เจอของห่วยบ้าง หลังๆนี่ เรามักซื้อกับผู้ขายรายใหญ่ อย่างเจ้าที่แนะนำเป็นผู้ผลิตเอง และน่าเชื่อถือ ไม่ใช่ครีมหน้าขาว นมโตตามเฟสบุ๊ค ที่น่าเชื่อพอๆกับหน้าคนที่เอามาโฆษณานั่นแหละ

               หลายๆคนคงสงสัยว่าครีมมีขายไม่รู้กี่ยี่ห้อ ทำไมต้องสั่งซื้อ ที่วางขายไม่ดียังไง เรามีคำตอบ และมันไม่ใช่ว่าเราชอบของแปลก อย่างที่คุณชิงตอบไปแล้ว แต่เป็นเพราะครีมส่วนใหญ่ในท้องตลาดใส่น้ำหอมฉุนมาก ซึ่งเราเกลียดที่สุด พูดถึงน้ำหอม เราคิดว่าจริงๆ โฆษณา Axe ที่มีผู้หญิงมาสลบใส่ผู้ชาย จัดได้ว่าเป็นหนึ่งในโฆษณาที่สมจริงที่สุดเลยนะ เราละเกลียดน้ำหอมผู้ชายมาก ได้กลิ่นแล้วหน้ามืด แถบเป็นลมใส่เอาจริงๆ (ถ้าไม่หล่อเหมือนในโฆษณา ดิฉันขอล้มไปอีกทาง) แต่มันคงไม่เหมือนในโฆษณาซะทีเดียว เพราะชั้นคลื่นไส้ด้วย ก่อนสลบอาจอ้วกใส่ด้วยหนึ่งที  อันนี้พูดจริงนะ ไม่ใช่แค่ขำๆ ใครใส่น้ำหอมกลิ่นแรงนี่เราถึงขั้นเลิกคบนะ จริงๆ และจะมาหาว่าเราจิตใจคับแคบไม่ได้นะ สัญชาติญาณสัตว์โลกทั้งหลาย ย่อมรักตัวกลัวตาย และหาทางปกป้องชีวิตตัวเองไว้ก่อน จะว่าไปนึกแล้วก็ตลก ที่เมื่อก่อน ช่วงที่เราต้องเผชิญกับน้ำหอมใหม่ๆ เราแก้ปัญหาด้วยการฉีดน้ำหอมซะเอง เผื่อที่มันจะช่วยป้องกันเราจากน้ำหอมคนอื่นที่มาโจมตี ปรากฎว่าเรายังไม่ทันเดินจากห้องเลย หน้ามืดซะละ เวรกรรมจริงๆ

                นอกจากเรื่องน้ำหอมแล้วก็มีเรื่องส่วนผสม พวกที่เน้นขาวนี่เราตัดไปก่อนเลย เพราะส่วนใหญ่ทำให้ผิวไวต่อแดด ขาวแปบเดียว หลังจากนั้นกระมาเลย แล้วกระนี่หายยากมากกว่าแขนดำเป็นไหนๆ ส่วนที่ไม่เน้นขาวก็ยังมีอยู่ นิดนึง แต่ส่วนใหญ่ใช้แล้วเอาไม่อยู่ บางยี่ห้อ(นีเวีย) ทาแล้วเหนียวเชียว แต่ไม่ซึมซาบเลย ติดอยู่ที่กางเกง ผิวก็แห้ง คัน เหมือนเดิม บางยี่ห้อซึมไว หายไปเลย และหายไปยังกับไม่ได้ทาจริงๆ  ครีมบางตัวที่ผ่านทุกข้อก็มี แต่แพง ใช้เยอะแล้วจน ก็ตัดไป   นอกจากนี้ เนื่องจากเราเป็นผู้สนใจเรื่องส่วนผสมมาก ไม่ใช่แค่เครื่องสำอางค์ ทั้งของกิน เสื้อผ้า รองเท้า นาฬิกา เราจะดูว่ามันผลิตมาจากอะไร ส่วนผสมก็เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้เราไม่เลือกซื้อครีมทั่วไป เพราะส่วนใหญ่ตัวที่เรามาให้ความชุ่มชื้น ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่า Mineral Oil หรือ Liquid Parafin ซึ่งสกัดมาจาก Petroleum จริงๆตัวนี้ไม่ทำให้แพ้เท่าไหร่ แต่ดูดซืมได้ไม่ค่อยดีนะ ส่วนมากก็เลยต้องเติม Alcohol เข้าไปให้มันดูดซืมได้ดีขึ้น อันที่ซืมไวๆ บางทีก็เติมน้ำ เติม Alcohol จนเหมือนไม่ทาอะไรเลย นอกนี้ก็มีแต่น้ำหอม สารกันเสีย กับสารกันแดด(แบบไม่เสถียร)บ้าง ส่วนใหญ่ที่โฆษณาเว่อร์ๆ ดูแล้วขำ มีแค่พวกนี้อ่ะนะ กับสารสกัดน้ำผึ้งเกาหลี (มันต่างกับน้ำผึ้งไทยยังไงฮะ ตลก) ที่น้อยนิดแบบไม่ระบุปริมาณ คาดว่า 1 หยดต่อ 1 batch การผลิต ก็จะทำให้คุณผิวขาวเปล่งปลั่ง ถ้าได้ผลจริง คิดว่ามาจากแรงศรัทธามากกว่าอย่างอื่น

                    มาที่ครีมตัวแรก ที่เรานิยมไว้ใช้ตอนกลางวันเพราะไม่เหนียวดี ตัวนี้เราซื้อจากร้าน Tropical life ซึ่งมีทั้งเว็บและหน้าร้าน (http://buytropicalife.com) บริษัทนี้ตอนแรกเน้นผลิตวัตถุดิบเครื่องสำอางค์ที่ทำจากพืช และเบสครีม แชมพูต่างๆ แบบไร้กลิ่นและสี สำหรับให้สปา ครีมเจ้าต่างๆไปใส่น้ำหอม ทำบรรจุภัณฑ์ขายอีกต่อ ตอนหลังเริ่มทำแบบสำเร็จพร้อมใช้ขายเองด้วย แลดูไฮโซ น่าใช้มากมายแต่เรายืนยันว่าแบบที่เป็นเบสไร้กลิ่น ไร้สีดีกว่าเยอะ เพราะแบบพร้อมใช้ราคาแพงกว่ามากๆ ทั้งที่ส่วนผสมเหมือนๆกันและน้ำหอมสังเคราะห์กลิ่นแรงมาก ครีมเบสตัวที่เราเคยใช้และที่เค้ามีขายมี 2 ตัว คือ 

BASE OASIS SILKY SKIN BODY LOTION (97.8% NATURAL) กับ BASE SPECIAL MOISTURIZING LOTION WITH COCOA BUTTER (98% NATURAL) ซึ่งตัว OASIS จะเหนียวกว่า และแพงกว่าหน่อย (471 บาท กับ 386 บาท ต่อ Kg) ต้องพูดตรงๆ ว่าคุณสามารถหาครีมที่ถูกกว่านี้ตามท้องตลาดได้มากมาย แต่ดีเท่านี้และถูกกว่านี้ หาไม่ได้หรอก ส่วนผสมเอามาให้ดูคร่าวๆ ดีกว่าครีมทั่วไปมากมาย

OASIS: Aqua (Water), Oryza Sativa (Rice) Bran Oil, Glycerin, Cetearyl Alcohol, Caprylic/Capric Triglyceride, Dimethicone, Prunus Amygdalus Dulcis (Sweet Almond) Oil, Butyrospermum Parkii (Shea Butter), Sesamum Indicum (Sesame) Seed Oil, Simmondsia Chinensis (Jojoba) Seed Oil, Theobroma Cacao (Cocoa) Seed Butter, Cetearyl Wheat Straw Glycosides, Lauryl Glucoside, Polyglyceryl-2 Dipolyhydroxystearate, Ammonium Acryloyldimethyltaurate/VP Copolymer, Rosa Damascena (Rose) Flower Water, Tocopheryl Acetate, Propylene Glycol, Centella Asiatica (Centella) Leaf Extract, Methylisothiazolinone
Moisturizing: Aqua (Water), Oryza Sativa (Rice) Bran Oil, Glycerin, Cetearyl Alcohol, Dimethicone , Lauryl Glucoside, Polyglyceryl-2 Dipolyhydroxystearate, Cetearyl Wheat Straw Glycosides, Theobroma Cacao (Cocoa) Seed Butter, Butyrospermum Parkii (Shea Butter), Centella Asiatica (Centella) Leaf Extract, Ammonium Acryloyldimethyltaurate/VP Copolymer, Tocopheryl Acetate, Rosa Damascena (Rose) Flower Water, Propylene Glycol, Methylchloroisothiazolinone , Methylisothiazolinone
จริงๆ 2 ตัวนี้ก็ไม่ต่างกันมาก เพียงแต่ตัวแรกมีส่วนผสมเยอะกว่า ทั้งสองตัวมีน้ำมันรำข้าวเป็นส่วนผสมหลัก (ส่วนผสมจะเรียงจากมากไปน้อย ตามหลักตัวสุดท้ายควรเป็นสารกันเสียและน้ำหอม แต่ถ้าไปดูครีมตามซุปเปอร์ สองตัวนี้อยู่กลางๆเชียว ตัวสุดท้ายมักเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่เอามาโฆษณานั่นแหละ)  แต่ตัวบนจะมี Oil ชนิดต่างๆเพิ่มเข้ามาด้วย อย่างน้ำมันงา น้ำมันอัลมอนด์และน้ำมัน Jojoba ส่วน Cocoa butter และ Shea Butter มีทั้งคู่ ถ้าจะให้เรามาแจกแจงส่วนผสมว่าอะไรคืออะไร คงยาวมากๆๆๆ แต่เอาเป็นว่าครีมตามซุปเปอร์ หาส่วนผสมอย่างนี้ไม่ได้หรอก เชื่อเถอะ

        ปกติเราจะซื้อมาเป็นถุง 1 กิโล เพราะจะได้ราคาถูก บรรจุมาในถุงฟอยล์ตามรูปข้างบน และเราจะนำมาแบ่งใส่ขวดเอง ขวดที่แนะนำควรเป็นขวดแก้ว เพราะล้างง่าย ล้างได้เกลี้ยงไม่ติดขอบ จริงๆจะเอาขวดอะไรก็ได้ แต่เราแนะนำขวดนม ยี่ห้ออะไรก็ได้ที่ไฮโซๆนิดนึง มันจะให้เป็นขวดแก้ว ซึ่งมักแพงไร้สาระ แต่ก็กินมันครั้งเดียวเพื่อเอาขวด อีกอันที่เคยใช้ คือขวดน้ำเต้าหู้ชาเขียวถั่วแดงของ Tofusan (ขวดเล็กมีขายในเซเว่น ขวดใหญ่เราซื้อซุปเปอร์ไรซักอย่าง) แต่เราไม่แนะนำ เพราะล้างคราบถั่วแดงไม่ค่อยออก นี่ยังเกาะๆอยู่เลย ตามที่โชว์ในรูปเนื้อครีมจะเป็นสีขาวนวลๆ ถ้าใส่เต็มขวดจะเหมือนนมมากๆ อันตรายนะ ห้ามว่างซี้ซั้ว แปะป้ายไว้ก็ดี ตอนแรกๆ เราใช้แบบไม่มีกลิ่น ใช้ๆไปชักเบื่อ เลยซื้อ Essential Oil จากเว็บเดียวกันนี้ มาเป็นน้ำหอมแบบสกัดจากธรรมชาติ ดมแล้วสดชื่น ไม่เหมือนน้ำหอมสังเคราะห์ แต่ต้องบอกว่าแพงนิดนึง ขวดละ 200 กว่าบาท แต่ใช้ได้นาน เพราะใช้ทีแค่ไม่กี่หยด เว็บนี้มีให้เลือกเยอะมาก ตั้งแต่แบบเดี่ยวๆ เช่น ตะไคร้ ดอกไม้ต่างๆ ไปจนถึงแบบผสมหลายๆอย่าง เช่น ที่เราใช้ De-Violent (เป็นคำที่แปลกมาก ไม่คิดว่าจริงๆมีคนอื่นใช้ แต่ช่างมันเถอะ) เป็น Bergamot, Geranium, Lemon ก็ไม่รู้ว่า De-Violent ยังไง ถ้าเราไม่ใช้เราอาจไปทำร้ายร่างกาย ประทุษร้ายผู้อื่น ก่อวินาศกรรมแล้วเช่นนั้นฤา ไม่รู้เหมือนกัน แต่มันหอมดี ลองซื้อมาหยอดในครีมดูนะ วิธีง่ายๆคือใส่ครีมไปครึ่งขวด หยดๆน้ำมันหอมระเหย เติมครีมอีกนิด แล้วเขย่าๆ ก่อนจะเติมครีมจนเต็มขวด


        สำหรับตอนกลางคืน เราขอเอาของไทย มาประชันกับของนอก ก่อนอื่น ครีมมะพร้าวของไทย โดยบริษัท Tropicana ที่ผลิตน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นและผลิตภัณฑ์ต่างๆอีกมากมาย (เราแนะนำอันนี้อันเดียว อันอื่นที่เคยลอง ไม่ค่อยถูกใจ)  เราสั่งซื้อโดยตรงจากเว็บของบริษัท ราคา 250 บาท (http://www.coconutplaza.com) แต่จริงๆก็หาซื้อได้ตามร้านสุขภาพทั่วไปนะ แต่ราคาเท่าไหร่นี่แล้วแต่ เราเคยเจอตั้งแต่ 300-400 เชียว ใช้ได้ประมาณเดือน ถึง 2 เดือน เพราะมันไม่ได้เป็นโลชั่นแต่เป็นบัตเตอร์แน่นๆ ไม่ต้องทาเยอะ เค้ามีหลายกลิ่น แต่เราแนะนำกลิ่นธรรมชาติอย่างเดียว หอมดี แต่ถ้าทากลางวันจะกลิ่นแรงไปหน่อย กลิ่นอื่นเราว่าเนื้อไม่เข้มข้นเท่าด้วย ส่วนผสมก็ตามที่เห็นคือ น้ำมันมะพร้าว แต่ก็มี Shea Butter เพิ่มความหนืดด้วย



       จริงๆจะแนะนำของ Boots อีกตัว แต่มันสู้มะพร้าวชาวไทยไม่ได้ และจะคุ้มก็ต่อเมื่อซื้อ 1 แถม 1 เท่านั้น บวกกับง่วงนอนด้วย ก็เอาเท่านี้แล้วกัน หวังว่าจะไม่ช้าไป ยังทันหน้าหนาวอยู่นะคะ แต่จริงๆ หน้าไหนก็ใช้ได้ค่ะ ผู้ชายก็ควรใช้นะคะ ความคันไม่ได้แบ่งแยกเพศเหมือนสังคมมนุษย์ค่ะ และที่ทำแมนๆ หล่อๆทั้งหลาย เชื่อเถอะค่ะ กลับไป โบกแล้วโบกอีกค่ะ พวกที่แมน แรมโบ้ เราผู้ชายอกสามศอก ฟันธงได้ ว่าถ้าไม่สร้างภาพ หรือใช้วิธีอื่น เช่น เข้าสปา (สปาจริงๆ ไม่ใช่แอบแฝง) อบซาวน่า นวดน้ำมันอายุรเวท (นวดด้วยตัวเอง ไม่ใช่นวดแอบแฝง แหม มันแอบแฝงได้ทุกรูปแบบจริงๆ) มาจากดาวไซย่า krypton การันตีว่าหล่อไม่เกินอายุ 30 แน่นอน  

        ขอบคุณทุกท่านที่ยังติดตามกันอยู่ค่ะ
       
         


Sunday 19 January 2014

ราชาแห่งถูกและดี สมาคมมังสวิรัติ (ตอนจบ)

         หายหน้าหายตากันไปนาน ด้วยเหตุผลมากมาย อธิบาย 2 วันก็ไม่จบ ก็เอาเป็นว่ากลับมาอีกครั้งกับ NamfonSaysWow ขอบคุณทุกท่านที่ยังแวะมาอ่านกัน และขอโทษหลายๆท่านที่ทำให้คอย

          เนื่องจากคราวที่แล้ว ยังไม่ได้เล่าเรื่องของหวานและซุปเปอร์มาร์เก็ตก็เลยจะขอมาเล่าต่อให้จบก่อน พูดถึงสมาคมมังสวิรัติเนี่ย มีสิ่งหนึ่งที่เราชอบเป็นพิเศษ คือ เค้าเปิดกว้างให้กับทุกๆคนได้มากินกัน ร้านมังสวรัติบางร้าน ไปครั้งเดียวเลิกเพราะดูเป็นสำหรับกลุ่มเฉพาะมาก บ้างก็สำหรับชาวต่างชาติโดยเฉพาะ บ้างเน้นผู้มีอันจะกิน บ้างก็เน้นพวกนุ่งขาวห่มขาว ที่นี่มีทุกแบบ ทุกแนว นักท่องเที่ยว ทั้งฝรั่ง ไทย จีน แขก วัยรุ่น คนแก่ และมีชาวบ้านแถวนั้น คนขับแท็กซี่ วินมอเตอร์ไซด์ ที่คิดว่าไม่ได้กินมังสวิรัติ แต่ร่วมมากินของดีราคาถูกกันด้วย ช่วงที่เดินขบวนไล่นายกสมชาย โนบิตะกันหนักๆ สมาคมหยุดไปร่วมม๊อบบ่อยๆ เราเคยไปซื้อของในซุปเปอร์สมาคม และเจอคนที่ต่อแถวหน้าเราใส่เสื้อพรรคเพื่อไทยมาเลย แต่เค้าคงไม่ได้มาป่วนเพราะดูลงทุนไปหน่อยซื้อยาสมุนไพรเต็ม 1 รถเข็นเชียว เสื้อก็คงได้มาฟรี คนที่คิดเงินก็มองแวปเดียว แล้วก็คิดเงินตามปกติ  นอกจากนี้ หน้าสมาคม มีคนมาขายหมูปิ้งเสียบไม้ เราก็ไม่เห็นเค้าว่าอะไรนะ

         จริงๆ ถ้าสังคมเราเป็นอย่างนี้ได้ ก็จะดีมาก ทุกวันนี้เหมือนจะเป็นต้องกันข้าม เต็มไปด้วยการแบ่งพวกเขา พวกเรา ไม่ใช่แค่เรื่องการเมือง แต่ทุกๆเรื่อง เช่่น ที่จอดรถเฉพาะ super cars ตามห้างใหญ่ๆเกือบทุกที่ โดยยามมีรายชื่อว่ารถยี่ห้อใด รุ่นใดบ้างที่เข้าข่าย เคาน์เตอร์พิเศษในธนาคารสำหรับผู้มีเงินฝากเกินระดับหนึ่ง (Wisdom, Prestige ต่างๆ) โดยไม่ต้องต่อคิว [ ธนาคารที่เราใช้บริการไม่มี]  ร้านอาหารบางร้าน ห้างบางห้างก็ค่อนข้างชัดเจนว่าต้อนรับคนเฉพาะกลุ่ม ซึ่งเราหลีกเลี่ยงที่จะเข้าใกล้ ถ้าทำได้ [ แนะนำสำนวนภาษาอังกฤษ Avoid ... like the plague แปลตรงตัว ว่าหลีกเลี่ยงเหมือนโรคระบาด ใช้ได้ทั่วไป สำหรับเวลาต้องการหลีกเลี่ยงอะไรมากๆ] เพราะรู้สึกไม่สบายใจและบรรยากาศมักตอแหล นอกจากนี้คนเหล่านั้นก็แสดงชัดเจนว่าไม่ต้องการคนอย่างเราเข้าไป เราก็ไม่รู้จะก็ไปทำไม  คนที่คิดว่าตัวเองเหนือกว่าคนทั่วไป ย่อมถูกใจที่จะได้รับการปฎิบัติที่เป็นพิเศษ ผู้ให้บริการก็ตอบสนองในจุดนี้ เพื่อสร้างจุดขาย ในบางสังคมที่ให้ความสำคัญกับความเท่าเทียมกันในสังคม คงยากที่จะเห็นอะไรเช่นนี้อย่างเปิดเผย (แอบๆ มันก็ต้องมีแหละ) แต่เราคิดว่าสังคมไทย นอกจากจะยอมรับเรื่องพวกนี้ได้แล้ว เผลอๆอาจจะเป็นสิ่งที่ขับเคลื่อนสังคมไทยในปัจจุบันด้วยซ้ำ

           เราค่อนข้างสงสัยว่าทำไมมักจะมีชนชั้นกลางจำนวนหนึ่งที่ชอบไปสัมผัสบรรยากาศหรือกระทำการเลียนแบบ  ไม่รู้ว่าเขาเหล่านั้นเข้าใจตรรกะอะไรผิดหรือเปล่า   คือ ไฮโซ เค้าเป็นเช่นนั้นก่อนจึงสามารถมีชีวิตเช่นนั้นได้ อาจจะด้วยเกิดมารวย ผัวรวย ทำธุรกิจรวย ดังจนรวย โกงจนรวย ฯลฯ เค้าไม่ได้เป็นเพราะเค้ากินแพงๆ ใช้ของแพงๆนะ เข้าใจป่ะ แต่ก็นะ เขาเหล่านั้นอาจต้องการแรงผลักดัน หรือกำลังหาผัวรวยก็เป็นได้ แต่เป็นเรื่องน่าเศร้านะ ที่ชนชั้นกลางอย่างเรา เอาเงินที่หามาอย่างยากลำบากมาใช้จ่ายให้กับที่ๆ ส่วนใหญ่เจ้าของก็เป็นชนชั้นสูงที่ได้รายได้มาง่ายๆอยู่แล้ว แทนที่จะมาช่วยอุดหนุนชนชั้นกลางด้วยกันเอง โอเค คนพวกนี้คงด่าเรา ว่าเรื่องของกู กูมีความสุขที่จะทำ เงินก็เงินกู มีงมาเสือกอะไรด้วย ก็จริงนะ จริงๆ เราเองก็เคยหลงผิดมาก่อนนะ เมื่อนานมาแล้ว จึงแค่อยากมาแชร์ และที่นี่ไม่ใช่หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ชั้นจะด่าใครก็ได้ ตราบใดที่ไม่ได้ระบุชื่อและทำให้อีกฝ่ายเสื่อมเสีย ไม่ได้ไปด่าหน้าบ้าน ตามมาอ่านเอง โอเคนะ

            ก่อนที่จะได้รับมอบ รางวัลปากหมาอวอร์ด ประจำปีนี้ (อ่าว เดี๋ยวนะ ได้แล้วเหรอ แหม ไวเชียว) ก็ขอเลี้ยวเอี้ยดด กลับมาคุยเรื่องของหวานที่สมาคมมังสวิรัติกันต่อ จริงๆ แล้ว ก็คิดๆอยู่ว่าจะเขียนดีไม่ดีเพราะวันที่มาพลาดของหวานเบอร์ 1 ของที่นี่ จริงๆตอนมายังไม่หมด แต่ไม่อยากไปซื้อมาไว้ก่อน กลัวมันเย็น เลยอดกินซะ เมื่อก่อน พอเจออย่างงี้ปุ๊บ คราวต่อไป อาหารคาว ชั้นเอาไว้ก่อนละ กินอันนี้ก่อนเลย  ของหวานระดับแปดดาวนี้ก็คือ ข้าวมธุปายาสนั่นเอง จริงๆ เคยได้ยินชื่อมาตั้งแต่ตอนเรียนประถม ในนิทานชาดก(หรือเปล่า) ที่พระนางสุชาดาถวายให้พระพุทธเจ้า (ไปอ่านเรื่องเต็มได้ที่นี่ ยาวมาก ขี้เกียจเล่า http://www.baanmaha.com/community/thread22697.html ) แต่เพิ่งกินที่นี่เป็นครั้งแรก อร่อยมากจริงๆ เหมือนกินแล้วลอยกลับไปอยู่ในยุคพุทธกาล หอมน้ำนมข้าวมากๆ ไม่หวาน รสชาติกลมกล่อม นวลๆ มีข้าวและธัญพืชหลายชนิด ถ้าได้ไป อยากให้ลอง และรีบไปซื้อนะ ขายดีมาก เดี๋ยวอดกิน ขอโทษด้วยที่เลยเหมือนมารีวิวร้านน้ำเต้าหู้ แต่น้ำเต้าหู้หมด รีวิวแต่เต้าทึงกับเต้าฮวยไปก่อน

          ของหวานเบอร์ 2 ที่จริงๆ บางคนก็ยกให้เป็นเบอร์ 1 ก็คือ เฉาก๊วยทรงเครื่องนั่นเอง เฉาก๊วยที่นี่อร่อยมาก เข้มข้นด้วยรสหญ้าเฉาก๊วย และหนุบหนึบหนับ เครื่องก็เยอะจริงๆ แปะก๊วยหลายเม็ดมาก พุทราจีน และลูกเดือยก็ให้เยอะจริงๆ ชอบหวานไม่ชอบหวานสั่งเค้าได้นะ ถ้วยนี้ 15 บาท แต่ถือว่าคุ้มเพราะให้เครื่องเยอะมากๆ  ขอโทษจริงๆ ที่ครั้งนี้ได้กินของหวานแค่อย่างเดียว จริงๆอย่างอื่นที่เคยกินแล้วชอบก็มี ข้าวเหนียวกลอย ธัชพืชรวม เค้กกล้วยหอมร้อนๆ ทำใหม่ๆ ซาลาเปาแป้งหนาไปหน่อย
           

              ต่อไป ขอพามาชมเป็นซุปเปอร์มาร์เก็ตเล็กๆ ในสมาคมมังสวิรัติ ที่มีขายวัตถุดิบต่างๆมากมายสำหรับผู้ทานมังสวิรัติ (มีผักและเห็ดขายอยู่ด้านหน้า ถูกและคุณภาพดีมาก) นอกจากนี้ยังมียาสมุนไพรมากมาย และครีม แชมพู สบู่ขายด้วย สินค้าส่วนใหญ่ ถ้าเป็นของชุมชน จะถูกมาก เพราะสมาคมรับมาตรง แทบไม่มีกำไร ส่วนอย่างอื่นที่ซื้อได้ทั่วไป ก็จะถูกกว่าข้างนอกนิดหน่อย

              พามาดูโซนสบู่ก้อน เราชอบใช้สบู่ก้อนเพราะไม่มีสารที่ทำให้เกิดฟอง Sodium Lauryl Sulfate อย่างที่ใส่ในน้ำยาล้างจาน และน้ำยาซักผ้า เหมือนในสบู่เหลว ซึ่งเราผู้ผิวแพ้ง่ายมากมาย แพ้ถ้าใส่ในปริมาณเยอะ   สบู่ก้อนดีๆ ถูกๆหาง่าย กว่าสบู่เหลวเยอะ สบู่เหลวดีๆก็มี แต่แพงและเรารู้สึกว่ามันล้างเต่าไม่เกลี้ยงเหมือนสบู่ก้อน ที่นี่มีสบู่ก้อนให้เลือกเยอะมากกกกกกกก ราคาตั้งแต่ 18 บาท ไปจนถึง 60 บาท ขึ้นอยู่กับที่มาและวัตถุดิบ ทุกก้อนล้วนมีส่วนผสมสมุนไพร เช่น สบู่ถ่านไม้น้ำผืึง ถ่านไม้ไผ่มะขาม น้ำมันมะพร้าว เปปเปอร์มินต์ ใบย่านาง แครอท มะเขือเทศ เราชอบสบู่ที่ไม่ใส่น้ำหอมสังเคราะห์ แต่ส่วนใหญ่จะแพงกว่าที่ใส่นิดหน่อย แต่บางทีเราก็ซื้อแบบที่ใส่มาบ้างเหมือนกัน  ถ้ากลิ่นไม่แรงมาก (ขอนอกเรื่องนิด บางคนนั่งรถตู้ใส่น้ำหอมยังกะอาบมา เวียนหัวมาก ยิ่งกว่าดมสารเคมีใน Plant อีก) เราก็ลองไปเรื่อยๆ แต่จริงๆ ถึงจะราคาถูก แต่ก็ไม่ได้ลองเยอะหรอก ใช้อย่างมากสุดก็เดือนละก้อน ก้อนใหญ่ๆ บางที 2 เดือนยังใช้ไม่หมด เบอร์ 1 และ 2 สำหรับเราตอนนี้ คือ ถ่านไม้ไผ่และใบย่านาง

              นอกจากสบู่ก็มีครีมและผงขัดตัวด้วย เราเคยลองใช้ครีมทาตัว 2-3 แบบ เราว่าไม่ค่อยดีนะ เนื่องจากมีข้อจำกัดเรื่องราคาที่ถูกมาก ไว้วันหลังจะมาแนะนำครีมทาตัวที่ราคาสมเหตุผล และดีมาก ส่วนครีมทาหน้ากระปุกนี่เราไม่กล้าลองจริงๆ เราเคยแพ้ครีม หน้าขึ้นหนอง ย้ำว่าหนองไม่ใช่สิว เพราะคันมากๆๆ คันนอนไม่หลับไปหลายคืน กว่าหน้าจะฟื้นคืนชีพ แทบตาย ส่วนผงขัดผิวก็โอเคนะ ถูกด้วย สำหรับสบู่เหลวและแชมพูมีให้เลือกเยอะมาก และถูกมากๆๆๆ แต่ก็ต้องดูดีๆนะ บางแบบมีแต่สารสร้างฟองกับน้ำหอม แต่บางอันก็ส่วนผสมดีมากเลย เราไม่ขอออกความเห็นเรื่องผลลัพธ์เพราะเราใช้อะไรก็คันและผมร่วงเหมือนเดิม 

             พามาดูน้ำยาล้างจานและน้ำยาซักผ้าที่นี่ ที่นี่ขายถูกมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ลิตรนึงประมาณ 20 บาท เพราะชาวบ้านทำกันเอง เราว่าถ้าไม่ซีเรียสก็โอเคนะ ลองดู เราเคยใช้บ้าง เราว่าก็ดีนะ  ไม่ได้รู้สึกว่าแย่หรือดีกว่าที่ขายทั่วไป


                 ที่นี่มีเส้นก๋วยเตี๋ยวหลายแบบ แบบผสมธัญพืช ผสมผัก เคยซื้อไปทำกิน อรอ่ยดีนะ
         
                    ทีเด็ดของซุปเปอร์นี้ นอกจากสบู่ก้อน ก็คือ ข้าวกล้องที่มีให้เลือกหลายแบบมาก ทั้งข้าวฮาง ข้าวกล้องญี่ปุ่น(ปลูกในไทย) ข้าวหอมนิล ข้าวมันปู ข้าวสังข์หยด ข้าวงอก ข้าวเหนียวกล้อง ในราคาที่รับตรงจากผู้ปลูก ถูกกว่าซุปเปอร์ทั่วไป หรือร้านสุขภาพข้างนอก ประมาณ 30-70% เช่นในรูป ข้าวกล้องหอมนิลโลละ 35 บาท ในร้านสุขภาพตามห้างในกรุงเทพ ขายประมาณกิโลละ 100-120 เชียวสำหรับท่านที่อยู่ระยอง มีผุ้ที่รับข้าวฮางงอก จากสหกรณ์ในภาคอีสานมาขาย ในราคาไม่แพง(สำหรับข้าวชนิดนี้ แต่แพงกว่าข้าวปกติอยู่แล้ว) ซื้อได้ในเพลินใจซอยแรก หรือที่แสงทอง

                     ทีเด็ดที่สองสำหรับที่นี่ คือ ยาสมุนไพร ที่นี่ขายถูกกว่าร้านสุขภาพในห้างมากๆ เพราะมียี่ห้อที่รับมาโดยตรงจากชุมชน (อีกแล้ว)โดยส่วนตัวเป็นคนที่ไม่ชอบกินยาแผนปัจจุบันสักเท่าไหร่ ยาแก้อักเสบนี่แทบไม่กินเลย ที่กินคือยาแก้ปวด เพราะปวดจริงๆ  ปกติเป็นอะไรจะกินยาสมุนไพร แต่ส่วนใหญ่ก็กินเบสิคๆ เช่น ฟ้าทะลายโจรแก้ร้อนใน ขมิ้นชันแก้ท้องอืด แต่ที่นี่มีอย่างอื่นให้เลือกเยอะมากๆๆๆๆๆ เราไม่ค่อยมีความรู้ ว่าอะไรกินเพื่ออะไร แต่เห็นคนอื่นเค้าซื้อกันเยอะแยะ คิดว่าทางที่ดี ไปพบแพทย์แผนไทย ขอคำแนะนำก่อนน่าจะดีกว่า หรือซื้อหนังสือ หาข้อมูลศึกษาเองก็ได้ ถ้าไม่ได้เป็นมาก ส่วนตัว ชอบ Google เว็บโรงพยาบาลหรือสาธารณสุขทั้งต่างประเทศและในประเทศ เปรียบเทียบกันหลายๆแหล่ง พูดถึงการหาข้อมูลด้วยตัวเอง เราเคยไปหาหมอเรื่องผมร่วงเมื่อหลายปีก่อน หมอแนะนำนั่นนี่ เราก็พยายามบอกว่าเราทำหมดแล้ว มันไม่ได้ผล หมอก็ทักท้วงนั่นนี่ สุดท้ายหมอพูดอย่างอารมณ์ขึ้นว่าคุณรู้หมดแล้ว คุณจะมาหาหมอทำไม ทำให้เรานึกขึ้นว่า เออจริงว่ะ เรามาทำไมวะเนี่ย เสียเวลาจริงๆ หลังจากนั้นเลยไม่ค่อยไปหาหมอแล้ว รักษาตัวเองนี่แหละ ถ้าไม่ใช่โรคที่ต้องใช้เครื่องวินิจฉัย หรือต้องใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์นะ เพราะเราเชื่อว่า เรารู้ดีที่สุดว่าเราเป็นอะไร บางทีอธิบายหมอไม่หมดเพราะลืมบอก สรุปหมอวินิจฉัยผิด หรือเราป่วยแบบนี้ประจำ แต่ตอนนี้อย่างอื่นระบาด สรุปหมอวินิจฉัยผิด เราไม่ได้ดูถูกวิชาชีพแพทย์นะ แต่เราจะบอกว่ามันเป็นไปไม่ได้ ที่หมอจะวินิจฉัยโรคจะการคุย 2-3 ประโยค โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณพูดไม่ค่อยรู้เรื่องหรือพูดผิดๆถูกๆ เราเคยเป็นอะไรหลายอย่าง ที่หาหมอกี่ที่ก็ไม่หาย ยิ่งหา ยิ่งแย่ ยาแรงขึ้นเรื่อยๆ หายปุ๊บ เป็นใหม่ เป็นง่าย กว่าเดิม มากกว่าเดิม สุดท้าย เราหายจากการไปซื้อยาตามคอลัมส์นิตยสารรแพทย์ที่อ่านเจอในโรงพยาบาลที่ไปหาหมอ แต่หมอไม่ได้แนะนำ ตลกเนอะ  นี่หายมา 2 ปีละ แต่นี่มันโรคผิวหนังนะ อย่างมากก็เป็นเยอะขึ้น ถ้าเป็นไส้เลื่อนอะไรงี้ ก็ไปโรงพยาบาลเหอะ
               
               
             ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามค่ะ ถ้าปากเสียไปหน่อยก็ขออภัยจริงๆ ถือว่าสงเคราะห์ให้เราได้ระบายอารมณ์ ดีกว่าให้เราไปด่าคนตามถนนแล้วโดนต่อยเถอะ คราวหน้ายังไม่แน่ใจว่าจะเขียนเรื่องอะไร ช่วยติดตามกันหน่อยนะคะ ถ้าอยากให้เขียนอะไร เป็นพิเศษก็ลองเสนอมาได้ค่ะ แต่จะเขียนได้มั้ย ต้องดูอีกทีค่ะ


                        

Saturday 4 January 2014

ราชาแห่งถูกและดี ชมรมมังสวิรัติ [ ตอน 1]

          กลับมาพบกันอีกครั้งกับ NamfonSaysWow ก่อนอื่นต้องขอโทษผู้อ่านทุกท่าน ที่หายหัวไปเลยจริงๆ ทั้งๆที่ก่อนนี้บอกไว้เองแท้ๆ ว่าจะเขียนทุกๆ 3-4 วัน อย่าหาว่าแก้ตัวเลย แต่ช่วงที่ผ่านมาสุขภาพย่ำแย่มากจริงๆ เข้าขั้นวิกฤต ทั้งเป็นไข้ ไอ เจ็บคอ พอหายไอ ก็ดันปวดท้อง คลื่นไส้ กินอะไรไม่ค่อยได้ ทั้งกินแล้วปวดท้องและขย้อนไปพร้อมๆกัน หวังว่าทุกๆคนจะสุขภาพดีนะคะ
 
            หายกันไปนาน มาอีกทีก็ปีใหม่แล้ว สวัสดีปีใหม่ทุกท่านนะคะ จะขอไม่อวยพรอะไรมาก เพราะตั้งแต่อายุ 22 มีสองวันที่เกลียดมาก คือ ปีใหม่ กับวันเกิด เหตุผลก็คงรู้ๆกันอยู่ ไม่ต้องอธิบาย ยิ่งปีใหม่ปีนี้ นอนไข้ขึ้น ปวดตัว กระสับกระส่าย พลุประทัดก็จุดกันเข้าไป ต่อไปปีใหม่คงต้องไปปูเสื่อนอนในถ้ำถึงจะหาความสงบได้ ถ้าจะพูดกันจริงๆ เที่ยงคืนก็เป็นเวลานอนของประชากรส่วนใหญ่ สัตว์อื่นๆที่หากินกลางวัน เช่น หมู วัว ไก่ ก็หลับคร่อกฟี้กันหมดแล้ว ส่วนสัตว์กลางคืน เช่น ค้างคาว นกค้าวแมว ก็เริ่มออกหาอาหาร จะมาส่งเสียงดังอะไรกันตอนนี้ แต่ก็นะ คนเค้าอาจจะบอกว่า แหม บ่นจริง ทั้งปีก็แค่วันเดียว คนอื่นเค้าออกจะสนุกสนาน ทำเป็นคนแก่ไปได้ ก็จริงของมัน เราก็ต้องหาทางออกกันต่อไป

             เข้าเรื่องกันดีกว่า จะบอกว่าโพสท์นี้เป็นโพสท์ที่เขียนไปตื่นเต้นไป เพราะเราไม่ได้เขียนถึงแค่สิ่งที่ผ่านไปมาแล้วประทับใจเล็กๆ แต่เป็นสิ่งที่รักเลยก็ว่าได้ สถานที่นี้ก็คือ ชมรมมังสวิรัติแห่งประเทศไทยนี่เอง ที่ยกให้เป็นราชา เพราะจนบัดนี้ยังไม่เจออะไรที่ถูกและดีเท่านี้อีกแล้วในประเทศไทยของเรา หลายๆคน อาจจะเริ่มสงสัยว่า เอ๊ะ เรากินมังสวิรัติด้วยเหรอ หรือแค่สนใจเพราะมันถูกดี จริงๆมันก็ทั้งสองอย่างนะคะ จริงๆแล้วเราเคยงดกินเนื้อทุกชนิด ยกเว้นอาหารทะเล (Pescetarian) อยู่หลายปีดีดัก ตั้งแต่อายุ 18 จนประมาณ 25 ซึ่งช่วงหลังๆมีช่วงที่เริ่มกินเนื้อสัตว์ด้วยความจำเป็นอยู่หลายเดือน และช่วงที่กลับมาเป็นใหม่อีกประมาณ 1 ปี เป็นช่วงที่ไม่กินข้าวขาว ไม่กินขนม สุขภาพดีมาก แต่ไม่มีคนคบ เพราะไม่เคยไปกินข้าวกับใครเค้าได้เลย

             ก่อนที่ทุกคนจะเค้าใจผิดว่าเราเป็นคนใจบุญสุนทาน ต้องขออธิบายตัวเองก่อนว่า สาเหตุที่กินไม่ได้มีอะไรเกี่ยวกับบาปบุญคุณโทษใดๆทั้งสิ้น แต่เป็นเพราะก่อนหน้านั้น ตกอยู่ในสภาพที่ต้องกินเนื้อเยอะมาก เนื้อก็เหม็นสาปเหลือเกิน บางทีไม่สุกอีกต่างหาก (อยู่กับครอบครัวต่างชาติ) พอมีโอกาสออกมาทำกับข้าวกินเอง ก็เลยตัดสินใจว่าจะไม่กินเนื้ออีกแล้ว พอกันที แต่จริงๆ ก็เป็นเพราะเราต้องทำกับข้าวกินเองและเราขยะแขยงเนื้อดิบด้วยล่ะ ทำเสร็จแล้วกินไม่ลง ประกอบกับชอบกินเต้าหู้และธัญพืชมากๆ ก็เลยลงตัวพอดี ช่วงที่กินใหม่ๆ อ้วนเป็นตุ่มเลย เพราะกินแต่ขนม แถมกินแต่ผักมันไม่ค่อยอิ่ม เลยกินซะเยอะเชียว สักพักเริ่มอยู่ตัว ก็รู้สึกดีขึ้นมาก สิวหาย ผิวดีขึ้น ตอนที่กลับมากินเนื้อใหม่ๆรู้สึกสะอิดสะเอียนมาก แถมแรกๆไม่ย่อยเลย แต่ตอนนี้กินได้ตั้งแต่ผ้าขี้ริ้วยันลิ้นวัว ที่ต้องกลับมากินเพราะ รู้สึกว่าขนาดทุกวันนี้ไม่เลือกมาก แต่มาอยู่ในที่ที่หาของกินยาก รถก็ไม่มี ตัวก็ผอมเท่าไม้ขีดแล้ว ถ้ายังเือกไม่กินเนื้อสัตว์อีก คงเสียชีวิต บอกตรงๆ ว่าถ้าเลือกได้ คงกลับไปกินเหมือนเดิม

             ชมรมมังสวิรัติอยู่ในซอยตรงข้ามตลาดอตก.ตามแผนที่ข้างล่าง ที่ตั้งช่างเร้นลับประดุจขุมทรัพย์กัปตัน Jack  Sparrow เท่านั้นไม่พอ หน้าปากซอยยังเต็มไปด้วยสถานบันเทิงที่เจ๊งไปแล้วมากมาย ดูอโคจรมาก ถนนก็ยังเป็นหลุมเป็นบ่อ น้ำขังตลอดเวลา ฝนไม่ตกมาเป็นเดือน ก็ยังมีน้ำขัง มันมาจากไหน ไม่เข้าใจเหมือนกัน ช้าก่อน ยังมีอีก เดินๆไป ระวังขี้หมาด้วย อันนี้สำหรับคนที่เดินมาจากสถานีรถไฟใต้ดินกำแพงเพชรหรือที่จอดรถด้านหน้า แต่สำหรับท่านที่นอกจากจะเกิดมาบนกองเงินกองทอง มีรถขับ แล้วยังมีโชคลาภอันประเสริฐพบที่จอดรถข้างใน ใกล้ๆกับตัวชมรม ก็ผ่านไป เอาเป็นว่ามีผับเจ๊งหน้าปากซอยละกัน

             
            เมื่อเดินเข้ามาอาจจะงงๆนิดหน่อย สภาพจะคล้ายโรงอาหารมหาลัย โต๊ะก็นั่งแชร์ๆกัน จานเอาไปเท ไปเก็บเอง แถมไม่มีป้าแม่บ้านเช็ดโต๊ะ ต้องเช็ดเอง ก่อนซื้อต้องแลกคูปองก่อนนะ ปกติจะแลกคนละร้อย (กำลังคิดล่ะสิ ว่าถูกตายเลย คนละร้อย แต่คือ เรากินเยอะจริงๆ อัดอั้นมานาน และซื้อใส่ถุงด้วย) ทีนี่ถ้าไปช่วงหน้าหนาวก็จะนั่งสบายหน่อย แต่หน้าร้อน โห อย่าให้พูด ทั้งแดดส่อง ทั้งลมร้อน เต่าคนรอบๆ ลมแทบจับ แต่ถึงจะบ่นขนาดนี้ มันคุ้มค่ากับความพยายามจริงๆนะ ชั้นถึงได้ยังถ่อมายังไงล่ะ ร้านอาจจะดูเหมือนมีไม่เยอะ แต่มีให้เลือกกินทุกอย่าง ตั้งแต่ สลัดผัก ก๋วยจั๊บญวน ข้าวมันไก่ ข้าวหมกไก่ ข้าวหมูแดง ข้าวขาหมู ลาบ น้ำตก ขนมจีนน้ำเงี้ยว น้ำยา บะหมี่หมูแดง บะหมีเป็ด ก๋วยเตี๋ยวลูกชื้น ก๋วยจั๊บ ข้าวราดแกง เห็ดย่าง ข้ามต้มกุ๊ยและเครื่อง ขนมกุ้ยช่าย หอยทอด ขนมผักกาด บ๊ะจ่าง ก๋วยเตี๋ยวหลอด เปาะเปี๊ยะสด และขนมหวานอีกมากมายก่ายกอง อาหารคาวราคาประมาณ 15-20 บาทเท่านั้น ขนมราคาไม่ถูกมาก 10 บาท แต่รสชาติ ให้ตายเถอะคุณ นี่มันชาววังมาเองแท้ๆ





           มาดูกันดีกว่าว่าวันนี้กินอะไรบ้าง เริ่มด้วยข้าวหมกไก่ ที่บรมจะอร่อย จริงๆมีน้ำจิ้มปกติด้วย แต่เราชอบเต้าเจี้ยว เลยขอน้ำจิ้มเต้าเจี้ยวมากิน ข้าวหมกจานนี้หอมเครื่องเทศมาก ไม่เหมือนทั่วไป ที่เหลืองอย่างเดียว กลิ่นไม่มี แถมยังมีทีเด็ด มีฟักทองลูกเต๋าน่ารักๆมาด้วย เราชอบมากกกกก น้ำซุปที่แถมก็ไม่ได้มีแค่น้ำหรองแหรงตามปกติ แต่มีทั้งกะหล่ำปี และเห็ดมาให้อย่างใจดี น้ำซุปอร่อยมากๆด้วย นี่เป็นหนึ่งในจานโปรดของเราที่นี่


          จานต่อไปเป็นขาหมู อร่อยมากๆ จะบอกว่าเราชอบกว่าขาหมูปกติ เพราะจริงๆชอบฟองเต้าหู้มากกว่าหมูหรือไก่อยู่แล้ว อร่อยเหาะ อีกจาน คือ บะหมี่หมูแดง อันนี้เราไม่ได้กิน แต่คนกินบอกว่าเฉยๆไม่ถึงกับเด็ดอ่ะนะ คิดว่าส่วนนึงเป็นเพราะเค้าลวกเส้นไว้แล้ว ทำให้ความอร่อยหดหายไปพอดู


           จริงๆ ก็ใกล้อิ่มแล้วนะ แต่หันไปเห็นของคนข้างๆเลยอยากกิน ข้าวกล้องธัญพืชใส่แปะก๊วย อร่อยๆ เราเอามากินกับเห็ดโคนแดดเดียว ของโปรดของคุณแม่ อันนี้เด็ดจริงๆ และเก็บได้นานด้วย เห็ดย่างที่นี่อร่อยสู้ของอีกที่ไม่ได้ เพราะไม่ร้อนและน้ำจิ้มไม่มีให้เลือก เดี๋ยววันหลังได้ไปสวนไผ่จะมาเขียนให้อ่าน



            กินอาหารคาวอิ่มแล้วก็ต้องต่อด้วยของหวาน ซึ่งเป็นทีเด็ดของที่นี้เลย แต่โพสต์นี้ยาวมากแล้ว จนเราคิดว่าคนส่วนใหญ่คงไม่อ่านมาถึงตรงนี้ด้วยซ้ำ (ขอมอบถ้วยชามสังคโลกในจินตนาการให้คุณ 1 ใบ ถ้าอ่านมาจนจบ ) เดี๋ยวคราวหน้าเราค่อยมาต่อกับของหวานและซุปเปอร์มาร์เก็ตกัน

        ขอบคุณที่อ่านและที่ติดตาม Blog ค่ะ

Thursday 19 December 2013

กุ้งแก้วสารพัดประโยชน์

      บล๊อกของเราเนี่ย ถึงแม้จะเขียนสนุกๆ แต่ก็ต้องตั้ง Deadline ให้ตัวเองบ้างเหมือนกัน เพราะถ้าอัพตามอารมณาจจะกลายเป็นปีละ 2 ครั้งได้ ผู้คนเลิกอ่านกันพอดี (หลายๆคนที่ยังหลงผิดอ่านอยู่คงกำลังคิดว่า เค้าเลิกอ่านไปตั้งแต่โพสท์แรกแล้ว) ก็เลยจะอัพเดทประมาณทุกๆ 3-4 วันนะคะ มาตามอ่านกันได้ จะได้กะเวลาถูกไม่ต้องนั่ง Refresh กันทุกชั่วโมง ไม่ได้เขียนถี่ขนาดนั้นค่ะ (กล้าพูดเนอะ)

        ตอนแรกตั้งใจไว้ว่าจะเขียนเรื่องสารให้ความหวานแทนน้ำตาล แต่ว่าลืมซื้อ Samples จากเซเว่น จะเดินลงไปใหม่ก็ขี้เกียจ เรื่องนี้ก็ขอเอาไว้คราวหน้าละกัน คราวนี้เรามาแนะนำกินกันอย่างไร้สาระไปก่อน สังเกตเห็นได้ว่า Label ของ Post นี้ เป็นแค่ Food ไม่ใช้ Health เพราะกินแล้วสุขภาพมีแต่จะทรุดโทรม พูดไปแล้ว ผู้อ่านที่เหลืออยู่ 2 คนแทบจะปิดเพจไปอ่านการ์ตูนต่อทันที แต่ช้าก่อนท่านทั้งหลาย เราขอบอกว่าสิ่งนี้มันอร่อยมากจริงๆ และสิ่งใดก็ตามล้วนมีพิษ แม้กระทั่งน้ำบริสุทธิ์ มันขึ้นอยู่กับว่าเรากินมากกินน้อย ขอ Quote Paracelsus (Philippus Aureolus Theophrastus Bombastus von Hohenheim ชื่อยาวเหลือเกิน เลยต้องมีชื่อเก๋ๆ เรียกแทน คล้าย โคราชแทนนครราชสีมายังไง อย่างงั้น)  เค้าเป็นชาว Swiss German คนสวิซเซอร์แลนด์ที่เป็นเชื้อสายเยอรมัน พูดภาษาเยอรมัน (ใน Switzerland มีคน 2 กลุ่มหลัก เยอรมันกับฝรั่งเศส) ที่มีหลายอาชีพมาก ทั้ง physician แปลว่า หมอค่ะ ไม่ใช่นักฟิสิกส์นะคะ อันนั้น Physicist ค่ะbotanist นักพืชยศาสตร์ เขียนถูกมั้ยเนี่ย เอาเป็นว่า คนศึกษาพืชละกันalchemist คล้ายๆเภสัชบวกนักเคมีastrologer นักดาราศาสตร์, and general occultist ผู้เชื่อและศึกษาลัทธิ เยอะเนอะ ทุกวันนี้เป็นเยอะขนาดนี้ คนคงหาว่าบ้า แถมกว่าจะเรียนจบหมดนี้ คงทั้งบ้าทั้งแก่  ต่อๆ คนๆนี้ได้พูดไว้ว่า 
"Alle Ding' sind Gift, und nichts ohn' Gift; allein die Dosis macht, daß ein Ding kein Gift ist."
"All things are poison, and nothing is without poison; only the dose permits something not to be poisonous." คมคายมาก กินน้ำเยอะๆก็ตายได้ค่ะ ไม่เชื่อลองดู 

         ร่ายยาวจนออกทะเลไปอีกละ ยังไม่รู้เลยว่าจะมาแนะนำอะไร โอเค แต่น แต๊น เราไม่รอช้า เชิญพบกับ กุ้งแก้วมหัศจรรย์ ที่อร่อยจนกินแล้วนึกว่าตัวเองเป็นเจ้าหญิง Ariel ว่ายน้ำอยู่ในทะเล แจกฟรี Iphone 5S ด้วย แต่ซื้อมาก็หมดเขตแล้ว สงสัยขายไม่ค่อยดี เห็นมั้ย ของดีๆ คนไม่สนับสนุนกันบ้างเลย


         สนนราคาก็ไม่ถึงกับบอบช้ำ แค่ 20 บาทเท่านั้น ซึ่งถ้าพิจารณาว่ามันเป็นกุ้งแก้วแล้วถือว่าถูก เพราะจริงๆกุ้งแบบนี้แพงมากเลย เราชอบกินน้ำพริกกุ้งเสียบมาก แต่กระปุกหนึ่ง 50 บาท ได้กุ้งมาไม่กี่ตัวเอง แต่ถ้าเทียบกับปริมาณมันก็ไม่ค่อยถูก เพราะน้อยเหลือเกิน เห็นมั้ย ถึงได้บอกเรื่องเป็นพิษไม่เป็นพิษอยู่ที่ปริมาณไง  ถึงมันจะมีคลอเรสเตอรอลเยอะแบบเห็นแล้ว เส้นเลือดอุดตันทันที  ถุงละ 10 ตัว กินสักถุงละเดือนก็พอ  และแนะนำให้อย่าเปิดกินหน้าเซเว่น ให้ไปนอนหลับ อ่านการ์ตูน ฟังเพลง พอกหน้า อะไรให้เสร็จแล้วค่อยกิน จะได้ไม่พุ่งไปซื้อต่ออีกถุงได้ง่ายๆ มันกินเพลินจริงๆนะ ท่องไว้ๆ คอเลสเตอรอลๆ

เอาน่านะ เป็นของธรรมชาติ อาหารทะเล อร่อย หาซื้อง่าย บรรจุภัณฑ์ น่ารักน่าเอ็นดู  จะเอาอะไรอีก(จะให้ดี ทำรูปชาวเลฉลาดๆกว่านี้นิดนึง ปัจจุบันหน้าตาเหมือนถูกหลอกมาเป็นชาวเล) 

เค้าโฆษณาว่ากินกับก๋วยเตี๋ยว ส้มตำ ข้าว ยำ สลัด หรือกินเล่นก็ได้ สารพัดประโยชน์ดีแท้ เรากินแล้ว เรารู้สึกว่ามันรสชาติใกล้เคียงกับกุ้งทอดในเย็นตาโฟที่สุด (สำหรับคนที่เกิดมามีบุญได้กิน เพราะทุกวันนี้มีแต่แผ่นเกี๊ยวทอด) ใส่ส้มตำ ข้าว สลัดก็ดูโอเค ผัดไทยเราว่าก็เข้าอยู่ แต่ถ้าก๋วยเตี๋ยวบะหมี่หมูแดง หรือหมูน้ำตก หมูต้มยำ มันจะไปเข้ากันได้ยังไง ก็ใช้วิจารณญานกันนิดนึง                 


เรากินกับสลัดและมะเขือเทศ โดยไม่ใส่น้ำสลัด เพราะไม่ชอบ และทยอยใส่กุ้ง ไม่ให้มันโดนน้ำแล้วไม่กรอบ เป็นแค่ตัวอย่างหนึ่ง

ก่อนจะจบตอนนี้ ขอแนะนำเว็บไซต์รีวิวสินค้าไทยคู่แข่งที่คล้ายแต่ต่างกับ Namfonsayswow มาก เพราะเปี่ยมไปด้วยสาระ และเขียนกระชับ ประดุจถูกจ้างมาเขียนตามจำนวนคำ 
http://www.thaiunbox.com/ ลองเอาไปดูคะ

ขอบคุณที่อ่านค่ะ

น้ำฝน

Saturday 14 December 2013

Protein Shake #1 และแนะนำยี่ห้อ Protein

      ก่อนจะแนะนำโปรตินเชคสูตรที่ 1 ขอท้าวความก่อน ว่าทำไมต้องกิน จะเพาะกล้ามหรือไง
คำตอบคือ ทั้งใช่และไม่ใช่

      เหตุผลหลักคือ เบื่ออาหาร จนผ่ายผอม เพราะร้านใต้หอทำช้ามากและไม่อร่อย วันไหนอาการร้อน ง่วงนอน ไปออกกำลังกายมาจะกินข้าวไม่ค่อยลง ทำให้บางวันไม่ได้กินข้าวเย็น กินแต่ไวตามิลค์ ก็เลยคิดว่าถ้ามีอะไรที่อร่อย กินง่ายๆ ก็คงจะดี เป็นที่มาของการกินโปรตีนเชค ตอนที่เริ่มกินก็เริ่มออกกำลังกาย พวก Strength Training ด้วย ถ้ามันช่วยสร้างกล้ามเนื้อเพิ่มก็ดี เพราะทุกวันนี้แทบมีแต่หนังห่อกระดูก

     จริงๆ คิดจะเริ่มกินโปรตีนเชคมาหลายครั้งแล้ว แต่ไม่ได้ทำซะที เพราะรู้สึกว่าโปรตีนเชคแพงเหลือเกิน มีแต่ยี่ห้อนำเข้า ที่เคยเห็นในต่างประเทศ แต่เมื่อมาไทย ด้วยภาษี คู่แข่งน้อย และแพร่หลายเท่าไหร่ ทำให้ราคาแพงมาก แพงจนคิดว่าเอาเงินไปกินบุฟเฟ่ต์ให้อ้วนๆ ได้หลายมื้อทีเดียว จนกระทั่งมาเจอยี่ห้อของคนไทย ซึ่งคิดว่าเค้าก็ไม่ได้ทำเองหรอก แต่นำเข้าจากผู้ผลิตเข้ามาทีละเยอะๆ และมาแบ่งบรรจุใส่ถุงฟลอยด์ 1 กิโล  สินค้ามีแค่ 3 แบบ Whey Protein Concentrate, Soy Protein Isolate และ Pea Protein Isolate โดย Whey จะแพงสุดประมาณ 800 อันนี้ก็นิยมแพร่หลาย รู้จักกันทั่วไป, Pea ประมาณ 600 เน้นสำหรับคนที่แพ้ whey และ soy ส่วน Soy ถูกสุดแค่ 400 กว่าๆ จริงๆเค้าแนะนำให้กินผสมกับ whey เพราะ soy จะย่อยสลายและดูดซึมช้ากว่า และมีสัดส่วนโปรตีนคนละแบบ แต่นะ เราใจเย็น คอยได้ และไม่ได้กินจริงจังอะไรขนาดนั้น ดังนั้นเราก็กินแต่ soy ก็พอ ถูกดี ในเน็ตมีคนมาโฆษณามากมายว่า Soy Isolate ดีกว่า Whey ยังไง แต่เราคงไม่อธิบาย เพราะจริงๆไม่ได้สนใจ แค่เห็นมันถูกดี อยากรู้ Google ดูละกัน

หน้าตาบรรจุภัณฑ์เรียบง่ายมาก ถึงได้ขายในราคานี้ได้ และยังส่งฟรีอีกต่างหาก แนะนำให้หากระปุกใส่ เพราะเราขี้เกียจและเทๆเอา วันก่อนหกไปมากมาย โปรตีนทั้งหมดของเจ้านี้ไม่มีการแต่งกลิ่น แต่งสีเหมือที่ขายส่วนใหญ่ ที่มีให้เลือกเป็นสิบๆรสชาติ ทั้งวานิลลา ช๊อกโกแลต กล้วย สตรอเบอรรี่ คุ๊กกี้แอนด์ครีม เยอะยังกับรสไอติม แต่จริงๆแล้วล้วนเต็มไปด้วยสารปรุงแต่งสังเคราะห์และวัตถุให้ความหวานแทนน้ำตาล (Aspartame) ซึ่งเดี๋ยววันหลังจะมาเล่าให้ฟัง ข้อดีมากๆของการไม่ปรุงแต่งกลิ่นและรสคือ เรามีอิสระในการแต่งกลิ่นและรสเอง ตามสิ่งที่ใส่ลงไป ลองเราใส่มะละกอไปในรสคุ๊กกี้แอนด์ครีม มันคงประหลาดแท้

ปกติเวลาจะเล่าอะไร มันจะออกทะเลจนลืมเล่าทุกที เอาล่ะ มาเข้าตัว Protein Shake #1 กัน

ส่วนผสม
1. มะละกอครึ่งลูก (อ่านถูกแล้วครึ่งลูก จะได้อิ่มๆ)
2. ไข่ลวกเซเว่น 2 ฟอง (เดี๋ยวนี้เซเว่นมีไข่ลวกแล้ว ไม่เคยเห็นก็ไปเบิ่งซะ ที่ใช้ไข่ลวกเพราะไข่ขาวดิบ         ขัดขวางการดูดซึม Biotin ซึ่งการขาด Biotin ทำให้ผมร่วงและเป็นผื่นได้)
3. โปรตีน 2-3 ช้อน
4. โยเกิร์ตที่เจมส์จิ โฆษณา กล่องสีเหลี่ยมๆ รสจืด สีน้ำเงิน (ถ้าไม่เคยเห็น ก็ไม่แปลก เพราะก่อนหน้านี้ มันแจกสแตมป์แถมคนบ้าเจมส์จิ ต้องไปดักดูทุกวัน แต่เดี๋ยวนี้มีแล้วนะ ลองไปดูใหม่ ที่ใช้โยเกิร์ตนี้ เพราะเป็นโยเกิร์ตชนิดเดียวที่ไม่หวานจ๋อยและเหลวเป๋ว อีกทั้งหาซื้อได้ง่าย มีขายในเซเว่น ยี่ห้ออื่นๆที่ใช้ได้ ก็มีนะ คือ Yolida, Úm Milk, Dairy Home และโครงการหลวง)
5. นมสด รสจืด ยิ่งใส่เยอะจะยิ่งเหลว ใส่น้อยๆก็จะข้น แต่ต้องใส่สักนิดหน่อย
6. น้ำผึ้งนิดหน่อย

อ๋อ แล้วปั่นด้วยนะ ไม่ใช่เอามาเขย่าๆแล้วกินที่ละอย่างนะ ปั่นแล้วดื่มค่ะ

มาดูหน้าตา Protein Shake #1 ของเรา คนเรางามที่ใจ ใช่ใบหน้านะเออ อันนี้ก็เหมือนกัน อาจจะคิดว่า อี๋ ไรอ่ะ มีฟองด้วยอ๊ะ หรือนั่นมัน ้วก ชัดๆ แต่ช้าก่อนอย่าตัดสินเพียงรูปลักษณ์ภายนอก เพราะมันอร่อยมาก กินแล้วสดชื่น แถมอิ่มกว่าข้าวร้านใต้หอซะอีก ลองกินดูแล้วจะติดใจ


เคยคิดจะผสมข้าวกล้องเหมือนกันนะ จะได้อิ่มๆ แต่ตั้งแต่ซื้อหม้อใหม่มานี่ หุงข้าวไม่เคยสุกเลย เดี๋ยวถ้าทำสำเร็จแล้วจะมาแชร์

จริงๆอยากเบ่งกล้ามโชว์ด้วย แต่ไม่มีคนช่วยถ่ายรูปให้ เอาเป็น Shake หน้าแล้วกัน จริงๆมีเป็นสิบๆสูตรเลย

ขอบคุณที่อ่านค่ะ

ลิงค์สำหรับเว็บที่ซื้อโปรตีน บริการดีมากๆ ไวสุดๆ แถมยังส่งฟรี
(ไม่ได้ค่าโฆษณาและไม่รู้จักกัน โกหกให้ชกสิบที)
http://www.clubproteinonline.com/

เปิดตัว แต่น แต๊น

เปิดตัวพร้อมกับเจตนารมณ์

มาแล้ว มาแล้ว blog แนะนำทุกอย่างที่น้ำฝนใช้แล้วชอบ กินแล้วชอบ ไปเที่ยวแล้วชอบ โดยมีพื้นฐานจากความชอบส่วนตัวเป็นหลักและความคุ้มค่าเป็นปัจจัยสำคัญ เนื่องจากนี่ไม่ใช้สถาบัน ISO, King's College, แม่ช้อยชวนชิม, ธงฟ้าราคาประหยัด, เชลล์ชวนชิม, Tripadvisor อะไรทั้งนั้น ดังนั้นไม่การันตีอะไรทั้งสิ้นค่ะ แค่อยากแนะนำ เกิดไม่ชอบก็มาแชร์ความเห็นกันได้ แต่ห้ามด่า ห้ามสั่งให้คืนเงินเด็ดขาด เราเตือนคุณแล้ว

นี่ไม่ใช่เว็บไซต์ Review สินค้า อันไหนใช้ กิน แล้วไม่ถูกใจ ขอไม่เสียเวลามาเล่าให้ฟัง 

จริงๆ น้ำฝนเป็นคนสนใจเรื่องสินค้าอุปโภค บริโภคพื้นฐานมากๆ และตอนซื้อของกิน ของใช้บ่อยๆ จำราคาได้ทุกอย่าง น้ำฝนคิดว่าเมื่อเราในฐานะผู้บริโภค เลือกซื้อสินค้าใดๆแล้ว เราก็เหมือนลงคะแนนเสียงให้กับผู้ผลิตและผู้ให้บริการรายนั้นๆ ให้เค้าอยู่ในตลาดและผลิตสินค้าให้เราใช้ต่อไป ซึ่งการลงคะแนนอันนี้สำคัญมาก และในปัจจุบันคิดว่าสำคัญกว่าเลือกตั้งทั่วไป เพราะมีผลกระทบกับทุกๆคน โดยตรง เลือกกันทุกวัน ไม่ต้องคอยใคร คอยอะไรทั้งนั้น

หลายๆคนบ่นว่าสินค้าไทย คุณภาพต่ำ จะซื้ออะไร ขอเป็นของนอก ญี่ปุ่น ยุโรป อเมริกาไว้ก่อนก็มักจะดีกว่าเสมอ คำถามคือ ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ปัจจัยหนึ่ง คือ ค่าครองชีพที่ต่ำมากของไทย ทำให้ผู้ผลิตต้องตัดต้นทุนเพื่อรักษาให้ราคาอยู่ในระดับที่ผู้บริโภคส่วนใหญ่รับได้ แต่นั่นไม่ใช่ทั้งหมด บ่อยครั้งที่สินค้าไทยมีราคาแพงแต่ยังคุณภาพต่ำ เป็นเพราะอะไร แชมพู เครื่องสำอาง อาหาร ยี่ห้อชื่อดังที่วางขายทั่วโลก มีส่วนผสมไม่เหมือนกัน และสินค้าที่ผลิตหรือขายในไทย มักจะขายได้แค่เวียดนาม มาเลเซีย( บางครั้งก็ไม่) อินโดนีเซียเท่านั้น แน่นอนอาจเป็นเรื่องของการขนส่ง ราคาและการทำฉลาก แต่เราเชื่อว่าไม่ใช่เหตุผลทั้งหมดแน่ๆ เสื้อผ้าแบรนด์ไทยๆ แพงมาก และคุณภาพเท่าตลาดเปิดท้าย ที่ดีหน่อย ก็แพงซะ ยังกะใส่แล้วบินได้

การใช้ชีวิตและท่องเที่ยวในหลายประเทศ บวกกับการที่มักจะสนใจสำรวจซุปเปอร์มาร์เก็ตมากกว่าห้างสรรพสินค้า หรือ Landmark ใหญ่ๆ พบข้อสังเกตที่น่าสนใจว่า ประเทศที่ค่าครองชีพสูงและราคาสินค้าสูงก็ไม่ได้มีสินค้าคุณภาพดีเสมอไป ปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อคุณภาพคือ มาตรฐานที่ผู้บริโภคยอมรับได้ ในประเทศที่ผู้บริโภคตื่นตัว ให้ความสนใจกับคุณภาพของสินค้า ทั้งอุปโภค บริโภค ผู้ผลิตในประเทศนั้น ย่อมต้องผลิตสินค้าให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด มิเช่นนั้นก็จะอยู่ไม่ได้ ญี่ปุ่นเป็นหนึ่งในประเทศนั้น ต้องยอมรับว่าเสื้อผ้าและผลิตภัณฑ์ต่างๆที่ผลิตในญี่ปุ่น คุณภาพไว้ใจได้จริงๆ 

ถ้าคนส่วนใหญ่ยังโหวดให้สินค้าราคาแพง แต่คุณภาพต่ำ ไม่ว่าจะเป็นเพราะความโก้เก๋ ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ความเคยชิน ความขี้เกียจ (บางคนซื้อทิชชู่ ไม่ได้เลือกเลย ขอให้เช็ด...ได้เป็นพอ แถมไม่ดูราคาก็มี จริงๆนะ) ความเชื่ออะไรบางอย่างที่ไม่รองรับด้วยวิทยาศาสตร์ ก็ไม่ต้องบ่น และก็ไม่ต้องโทษใครหรอก ว่าทำไมสินค้าไทยถึงห่วยอย่างงี้  

เปิดใจกันกว้างๆ ยินดีมากๆที่จะร่วมสนทนากันค่ะ

น้ำฝน